จำปาขาว ต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก

จำปาขาว Magnolia sp. วงศ์ MAGNOLIACEAE
ไม้ต้น สูง ๘-๑๒ เมตร โคนลำต้นใหญ่ได้ถึง ๑.๕ เมตร. กิ่งอ่อนมีขนนุ่มและแผลระบายอากาศทั่วไป ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๙ ซม. ยาว ๑๐-๒๐ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกสีขาวนวลถึงเหลืองอ่อน เมื่อใกล้โรยจะเป็นสีเหลืองเข้มขึ้น ออกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกน้อยดอกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกหงายตั้งขึ้น มีกลิ่นหอมแรง ดอกอ่อนรูปกระสวย สูง ๓-๔ ซม. กลีบดอก ๑๒-๑๕ กลีบ กลีบชั้นนอกรูปใบหอกยาว กลีบชั้นในรูปขอบขนานแคบและสั้นกว่า

ผล เป็นผลกลุ่ม สีเขียว รูปทรงกระบอก ยาว ๖-๙ ซม. ผลย่อย ๑๕-๔๐ ผล ลักษณะกลมรี ขนาด ๑-๒ ซม. ไม่มีก้าน เปลือกผลหนาเหนียว มีแผลระบายอากาศทั่วไป ผลแก่สีน้ำตาลแกมแดง มั ๑-๔ เมล็ด มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง
จำปาขาวเป็นต้นไม้ที่มีประวัติยาวนาน สืบย้อนไปถึงก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย ต้นจำปาขาวต้นใหญ่ ที่ยืนต้นมั่นคงอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในวัดกลางศรีพุทธาราม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก หรือเมืองบางยางในอดีต เป็นต้นที่ชาวนครไทยเล่าต่อกันมาว่า ปลูกโดยพ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง โดยทรงปลูกไว้เมื่อครั้งก่อนยกไพร่พลไปตีเมืองสุโขทัย ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของขอมได้สำเร็จ แล้วสถาปนาตนเองเป็น “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย โดยพระองค์ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าตีเมืองสุโขทัยได้สำเร็จ ก็ขอให้ต้นจำปาขาวไม่ตาย และออกดอกเป็นสีขาว” จากคำอธิษฐานที่สัมฤทธิ์ผล นั้น ปัจจุบันจำปาขาวต้นนี้จึงถือเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และประมาณว่า มีอายุกว่า ๗๐๐ ปี
สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นจำปาขาวนั้น อยู่ระหว่างการศึกษาจึงยังมีความสับสน เนื่องจากเป็นต้นเก่าแก่ ที่โคนต้นมีลักษณะที่แตกผุอยู่มาก และดอกที่ออกมาเล็กลงคล้ายดอกจำปีตอนแรกเป็นสีขาวและค่อยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย นักพฤกษศาสตร์บางกลุ่มจึงให้ชื่อวิทยาศาสตร์อยู่ในกลุ่มจำปี เป็น Magnolia X alba (DC.) Figlar. บางกลุ่มก็จัดอยู่ในกลุ่มจำปาเรียกเป็น Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre และมีอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งคือเป็นลูกผสมตามธรรมชาติ ของจำปา กับจำปีป่า (Magnolia champaca (L.) Baill. ex Pierre X Magnolia baillonii Pierre) มีชื่อวิทยาศาสตร์ Magnolia champaca x baillonii
ขอบคุณข้อมูล : ดร.วีระชัย ณ นคร
ที่มา : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช